ทำอย่างไรให้ “โอกาส” วิ่งใส่คุณ ?
ทำอย่างไรให้ “โอกาส” วิ่งใส่คุณ ?

ความจริงอย่างหนึ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันที่ว่า เราไม่มีทางที่จะฉายเดี่ยว โซโล่ทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และประสบความสำเร็จได้เพียงลำพัง ลองไปดูตัวอย่างการเดินทางของคนเก่ง คนดัง ผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายทั่วโลกสิครับ แม้ว่าแต่ละคนจะเริ่มออกเดินในก้าวแรก ๆ ด้วยสองขา ความคิด และความสามารถของตัวเอง แต่ดูเหมือนจะไม่มีเลยสักคนที่เดินไปด้วยตัวคนเดียวตลอดเส้นทาง
Mark Zuckerberg ผู้สร้างอาณาจักรสื่อสังคมออนไลน์ที่เชื่อมต่อผู้คนทั่วโลกอย่าง Facebook ก็ไม่ได้ขยายแพลตฟอร์มยอดฮิตได้เพราะเอาแต่ขลุกอยู่กับหน้าจอในหอพัก หากแต่ยังคว้าโอกาสที่จะยกระดับให้กับสิ่งที่เขาทำจากนักลงทุนผู้มองการณ์ไกล หรือ CEO ใจกล้า บ้าบิ่น ช่างฝันอย่าง Richard Branson ที่บันดาลธุรกิจในภาพความคิดให้เกิดเป็นแบรนด์ Virgin ขึ้นในโลกความจริง ด้วยการเปิดโอกาสให้ทั้งตัวเองและคนที่มี Passion แบบเดียวกันได้ลองเสกสรรปั้นแต่งจนสร้างเซอร์ไพรส์ให้คนทั้งโลกได้ฮือฮา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Jack Ma นักธุรกิจผู้ปฏิวัติโอกาสให้โลกแห่งการค้าใบใหญ่กว่าเดิม เปิดประตูให้ธุรกิจ B2B ทั้งน้อยใหญ่เกิด Transaction จำนวนมหาศาล ด้วยเพราะเล็งเห็นโอกาสและเข้าใจถึงการเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ จึงเป็นที่มาของตำนานแห่งแดนมังกรประจำยุคนี้
จากตัวอย่างบางส่วนข้างต้น คุณพอจะมองเห็น ‘จุดร่วม’ อะไรบางอย่างที่พวกเขามีเหมือนกันไหมครับ ? แม้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของแนวทางและความสามารถเฉพาะด้าน แต่พวกเขาล้วนแล้วแต่มีคำว่า “โอกาส” เป็น Keyword สำคัญในการไขประตูชีวิตให้ตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งโดยหลัก ๆ โอกาสที่เขาได้รับมักมาจากรูปแบบเหล่านี้
เปิดโอกาสให้ตัวเองพบ “โอกาส” ใหม่ ๆ
ด้วยเหตุผลที่คนประสบความสำเร็จไม่ได้หมกตัวอยู่แต่ในกรอบ ไม่มัวขังตัวเองอยู่แต่ใน Comfort Zone แต่เขาเริ่มต้นให้โอกาสกับตัวเองได้ก้าวออกไปเรียนรู้ ค้นพบ และเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ในโลกที่กว้างกว่ากะลาใบเดิม และก้าวแรกจากการเปิดใจให้โอกาสกับตัวเองนี่แหละครับที่นำคนเหล่านี้ไปสู่โอกาสใหญ่ ๆ ในเวลาต่อมา ด้วยการลองผิดลองถูก เรียนรู้เรียนล้มจนพบโอกาสที่ใช่ของตัวเอง
ถ้า Richard Branson ไม่กล้าที่จะคิด ไม่กล้าที่จะลองข้ามเส้นเดิม ๆ ทุกวันนี้อาจไม่มีสายการบินที่ให้ประสบการณ์แตกต่างอย่าง Virgin Airlines ไม่เว้นแม้แต่ที่ถึงขั้นหลุดโลกพาคนขึ้นไปสัมผัสชั้นอวกาศในสภาวะไร้น้ำหนักอย่าง Virgin Galactic แม้ว่าเคสนี้อาจฟังดูสุดโต่งไปซะหน่อย แต่เราเองก็สามารถเรียนรู้วิธีคิดและนำมาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ครับ ลองหาโอกาสออกไปเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ ท้าทายความคิดเดิมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยคิดมาตลอดว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา หรือเราไม่น่าจะทำได้ กดปุ่มละลายน้ำแข็งในความคิดของตัวเองซะบ้าง แล้วโอกาสแรกก็จะเริ่มเดินมาทักทายคุณครับ
มองเห็น “โอกาส” ที่คนอื่นมองผ่าน
คุณเคยสังสัยไหมครับว่า ทำไมบางคนถึงสามารถคิดได้ในสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึง ทั้งที่เป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคนเหมือน ๆ กัน ?
อะไรกันที่ทำให้ Travis Kalanick และ Garrett Camp หาทางจัดการกับปัญหาการเรียกแท็กซี่ที่หายากในบางช่วงเวลาบวกกับคุณภาพบริการที่ผู้โดยสารสุดแสนจะเอือมระอา จนเกิดเป็น UBER บริการเรียกรถรับส่งคุณภาพดีที่จับคู่กับ Partner ผู้ที่มีรถอยู่แล้วและต้องการหารายได้ และอะไรกันที่กระตุ้นให้ Brian Chesky , Joe Gebbia และ Nathan Blecharczyk เกิดความคิดลุกขึ้นมาเป็นตัวกลางในการแบ่งปันห้องว่างของคนทั่วโลกให้นักเดินทางได้เข้าพักในนามของ Airbnb ที่ใครหลายคนน่าจะร้อง “อ๋อ”
ปัจจัยที่เป็นตัวจุดประกายไอเดียให้กับพวกเขาเหล่านี้มองเห็น “โอกาส” ที่คนอื่นมองผ่าน คือการ “เปิดสายตา” ช่างสังเกตสิ่งที่เป็นไปในสภาพแวดล้อมรอบตัว จนมองเห็นสิ่งที่เป็นปัญหาและยังไม่เคยมีใครแก้ไข แล้วตามมาด้วยการ “เปิดความคิด” วิเคราะห์ถึงที่มาสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งคำถามว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นไปตลอดอย่างนั้นเหรอ ? มันพอจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ไหม ? จนนำไปสู่การ “เปิดใจ” ให้กว้างขึ้น เพื่อเรียนรู้ที่จะมองหาทางออกใหม่ ๆ ไอเดียที่แตกต่าง และความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหานั้น
นั่นเองคือ “โอกาส” อีกครั้ง ที่เขาออกไปมองหาจนได้มาซึ่ง “โอกาส” ในลำดับต่อไปบนบันไดขั้นของการลงมือทำ ซึ่งเราสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการมอง ตั้งโจทย์ และคิดหาคำตอบที่เหมาะกับแนวทางของตัวเองได้ไม่ว่าคุณจะทำสิ่งไหนอยู่ก็ตาม เพราะบางทีบางครั้ง “โอกาส” มันก็แค่อยู่ในอากาศ ลอยผ่านไปผ่านมา ผ่านหน้าเราอยู่ทุกคน ซึ่งมีเพียงผู้ที่กระตือรือร้นในการค้นหาเท่านั้นที่จะได้ค้นพบ
เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ “โอกาส”
“การให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การให้โอกาส“ แม้ผมจะไม่ทราบแน่ชัดว่าใครกันที่เป็นเจ้าของคำกล่าวประโยคนี้ แต่คิดว่าคุณคงจะเข้าใจคุณค่าของ “โอกาส” ในที่นี้ได้เป็นอย่างดี ยิ่งบุคคลผู้ประสบความสำเร็จทั้งหลายยิ่งรู้ซึ้งถึงความสำคัญในเรื่องนี้ดีกว่าใครเลยล่ะครับ
Jack Ma ที่วางแนวทางธุรกิจเน้นความใจกว้าง ด้วยวิสัยทัศน์ของเขาที่ว่า “ผมเชื่อในเรื่องนิเวศน์ธุรกิจ ที่ทุกคนต้องเชื่อมโยงกันและพึ่งพาอาศัยกันในระบบนิเวศน์นี้” แสดงถึงการมอบโอกาสให้ธุรกิจทั้งโลกได้ทำมาค้าขายกัน หรือจุดรวมนักสร้างฝันอย่าง Kickstarter แพลตฟอร์ม Crowd Funding ที่ให้โอกาสซึ่งกันและกันระหว่างคนที่มีไอเดียได้มาเจอกับคนที่สนใจร่วมลงทุน เพื่อประสานมือสร้างธุรกิจนวัตกรรมมอบของขวัญชิ้นใหม่กับโลก และคงจะไม่พูดถึงชายผมยาวใจดีคนนี้อีกครั้งไม่ได้ Richard Branson ที่เปิดรับโอกาสในการสานต่อความก้าวหน้าให้กับธุรกิจของตัวเอง ด้วยการให้โอกาสกับบุคลากรรุ่นใหม่ในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ แสดงความเห็น เสนอโปรเจกต์ และลองเล่นจริงเจ็บจริงได้อย่างเต็มที่ จนเกิดเป็นกลยุทธ์ล้ำ ๆ และวิธีการทำธุรกิจเจ๋ง ๆ ฝังอยู่ใน DNA ของ Virgin มาจนทุกวันนี้
ทั้งหมดเกิดจากการรู้จักที่จะ ‘ให้’ และ ‘รับ’ โอกาสที่มีอยู่ในมือให้แก่กัน เพราะฉะนั้นลองเอามาทบทวนเป็นการบ้านดูนะครับว่า ตัวเราเองนั้นคู่ควรกับโอกาสแบบไหนจากใครได้บ้าง ? รวมทั้งสามารถหยิบยื่นโอกาสให้กับผู้ที่เหมาะสมคนไหนได้บ้าง ? เพราะยุคนี้คือยุคแห่งการแชร์โอกาสเพื่อเติบโตไปด้วยกันครับ
หลังจากสิ้นเสียงคำถามที่ว่า “ทำอย่างไรให้โอกาสวิ่งหาฉันบ้าง ?” ก็ขอให้เริ่มถามคำถามชุดต่อไปกับตัวเองเลยว่า “ฉันจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับตัวเองอย่างไรบ้าง ?” แล้วตามด้วย “มีโอกาสอะไรบ้างที่ฉันควรมองให้เห็น ?” และปิดท้ายด้วย “ฉันจะเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้โอกาสที่ดีได้อย่างไร ?” จากนั้นก็ออกเดินทางหาคำตอบเหล่านั้นด้วยตัวเอง เพราะ “โอกาส” คงไม่ใส่พานมาให้คนที่นอนรอเฉย ๆ อย่างแน่นอนครับ